ฟื้นอัตลักษณ์ผ้าย้อมห้อมเมืองแพร่ด้วยพลาสมา
วันพุธ ที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2567
การดู : 104
แชร์ :
การพัฒนาผลิตภัณฑ์ชุมชนไม่เพียงแต่ต้องเข้าใจพื้นฐานและปัญหาของชุมชน แต่ยังต้องใช้วิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยีเข้ามาช่วยแก้ไขปัญหาอย่างเป็นระบบ นี่คือสิ่งที่นวัตกรชุมชนจากหน่วยบริหารและจัดการทุนด้าน การพัฒนาระดับพื้นที่ (บพท.) และชาวบ้านในจังหวัดแพร่ได้ร่วมกันทำเพื่อยกระดับผลิตภัณฑ์ผ้าย้อมห้อมพื้นบ้าน ให้มีคุณภาพดีขึ้น คงทนยิ่งขึ้น และมีอัตลักษณ์ที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวมากขึ้น
นายวิทวัส นวลอินทร์ หรือ "พี่เค" นวัตกรชุมชนจากชุดโครงการกรุ่นกลิ่นเสน่ห์ห้อมย้อมห้อม ธรรมชาติ สร้างเศรษฐกิจท่องเที่ยววัฒนธรรมเวียงโกศัย ที่ได้รับการสนับสนุนจาก บพท. อธิบายว่า "เราเริ่มต้น โครงการวิจัยนี้เพราะพบว่าผ้าย้อมห้อมธรรมชาติที่ผู้บริโภคซื้อใช้งาน มักมีปัญหาสีตก สีซีดเร็ว ซึ่งทำให้ไม่ได้รับความนิยมและถูกแทนที่ด้วยการย้อมเคมีซึ่งเป็นที่นิยมเนื่องจากต้นทุนที่ถูกและกระบวนการที่รวดเร็ว แต่ขณะเดียวกัน การใช้สารเคมีบางชนิดในการย้อมอาจก่อให้เกิดผลกระทบต่อสุขภาพของผู้ผลิตหากไม่มีการป้องกัน ที่เพียงพอ ดังนั้น การผลิตห้อมจากธรรมชาติที่เป็นภูมิปัญญาดั้งเดิมจึงเป็นทางออกทั้งในเรื่องของสุขภาพ ระบบ นิเวศสิ่งแวดล้อมและการรักษาคุณค่าทางวัฒนธรรม"
พี่เคและทีมงานได้ลงพื้นที่สำรวจปัญหาและรับฟังความเห็นจากชาวบ้าน เพื่อวิเคราะห์และกำหนด แนวทางในการแก้ไขปัญหา
จุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้ผ้าย้อมห้อมมีคุณภาพที่ดีขึ้นมาจากการใช้เทคโนโลยีพลาสมา ซึ่งเป็นการนำ อากาศมาทำให้แตกตัวและปล่อยอนุมูลอิสระออกมาเพื่อปรับปรุงพื้นผิวของเส้นใยผ้า การเปลี่ยนแปลง โครงสร้างทางเคมีของเส้นใยทำให้ผ้ามีความสามารถในการดูดซึมสีได้ดีขึ้น สีติดทนนานกว่าเดิม อีกทั้งยังสามารถ ช่วยป้องกันการซีดและป้องกันแสง UV ได้อีกด้วย
พี่เคกล่าวถึงกระบวนการนี้ว่า "เมื่อเราเอาพลาสมามาใช้กับเส้นใยธรรมชาติ จะเกิดคุณสมบัติที่เรียกว่า “ชอบน้ำ” ทำให้สีธรรมชาติซึมเข้าสู่เส้นใยได้มากขึ้นและติดแน่นกว่าเดิม ผลจากการทดสอบในห้องปฏิบัติการ แสดงให้เห็นว่าผ้าที่ผ่านกระบวนการพลาสมานั้นมีความเข้มของสีที่มากกว่าผ้าที่ไม่ได้ผ่านกระบวนการนี้อย่าง ชัดเจน ซึ่งเป็นจุดเด่นที่เชื่อว่าจะช่วยสร้างความแตกต่างและเพิ่มมูลค่าให้กับผลิตภัณฑ์”
นอกจากการปรับปรุงคุณภาพผ้าแล้ว เทคโนโลยีพลาสมายังทำให้ชุมชนสามารถพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ที่ มีความหลากหลายและสร้างสรรค์ขึ้นได้ โดยทีมวิจัยให้ความสำคัญกับการสร้างอัตลักษณ์เฉพาะตัวของผ้าย้อมห้อม โดยได้รับแรงบันดาลใจจากลวดลายเครื่องประดับที่เป็นเอกลักษณ์ของชุมชนจังหวัดแพร่ และนำมาปรับเป็น ลวดลายบนผืนผ้า ทำให้ผ้าย้อมห้อมของแพร่ไม่เหมือนกับที่ใดในประเทศไทย
"โจทย์หนึ่งที่สำคัญคือเราจะสร้างความแตกต่างจากผ้าย้อมห้อมที่ทำกันทั่วไปอย่างไร เราจึงได้นำลวดลาย จากเครื่องประดับของชุมชน 10 ตำบลในจังหวัดแพร่ มาทำเป็นลายบนผืนผ้า ซึ่งแต่ละลายมีเรื่องเล่าของชุมชน และประวัติศาสตร์ที่ซ่อนอยู่ ตัวอย่างลวดลายที่โดดเด่น เช่น ลาย "ดอกผักแว่น" ซึ่งเป็นลายดั้งเดิมของตำบลห้วยอ้อ ที่มีลักษณะเฉพาะเป็นดอกผักแว่น 8 กลีบ หรือ "ลายล้อเกวียน" ของชุมชนบ้านทุ่งโฮ้ง ที่เป็นตัวแทนของการ อพยพและเดินทางของชุมชนไทยพวนตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 3 " พี่เคอธิบาย
เมื่อแก้ปัญหาเรื่องคุณภาพของผ้าและการสร้างอัตลักษณ์ให้กับผลิตภัณฑ์ได้แล้ว สิ่งที่ทีมวิจัยเน้นหนักอีก อย่างคือ การสร้างเครือข่ายการทำงานที่ยั่งยืนในชุมชน โดยทีมวิจัยไม่ได้เน้นให้ชาวบ้านทำงานทุกขั้นตอนเพียง ลำพัง แต่กระจายงานตามความถนัดของแต่ละคน เพื่อให้เกิดการแบ่งปันรายได้อย่างเป็นธรรม "เราสร้างเครือข่าย การทำงานในชุมชน เริ่มจากคนปลูกห้อม คนสกัดสี ไปจนถึงคนที่ทำลวดลายและตัดเย็บ ทุกคนมีส่วนในการผลิต ผ้าย้อมห้อมคุณภาพ ซึ่งสร้างรายได้ให้กับทุกคน ผ่านสายพานการผลิตในแต่ละขั้นตอน นอกจากนี้ชาวบ้านยัง สามารถทำรายได้จากการทำลวดลายบนผืนผ้า การกัดลาย หรือการขายห้อมเปียก ซึ่งเป็นวัตถุดิบในการย้อมสี ให้กับชุมชนอื่นๆ ในจังหวัดใกล้เคียงได้อีกด้วย”
เมื่อผลิตภัณฑ์และเครือข่ายพร้อม ทีมวิจัยยังพัฒนาแพลตฟอร์มการขายออนไลน์ผ่านเว็บไซต์ www.rujiradaphrae.com เพื่อช่วยให้ผลิตภัณฑ์ผ้าย้อมห้อมเข้าถึงตลาดได้กว้างขึ้น ทั้งในและต่างประเทศ การส่งออกผลิตภัณฑ์จากชุมชนเป็นอีกช่องทางที่สร้างรายได้ให้ชาวบ้าน โดยไม่จำเป็นต้องพึ่งพาการผลิตในปริมาณมาก แต่เน้นการเพิ่มคุณค่าและความแตกต่างของผลิตภัณฑ์ และขายในตลาดที่มีกำลังซื้อ
“สิ่งที่เราขายไม่ใช่แค่ผ้าย้อมห้อมธรรมดา แต่เป็นงานศิลปะที่ทุกชิ้นมีคุณค่า มีเรื่องราว และแฝง นวัตกรรมเข้าไปในนั้น” พี่เคกล่าวถึงทัศนคติที่เปลี่ยนไปจากการขายผ้าย้อมห้อมแบบเดิม
แม้ว่างานวิจัยนี้จะใช้เวลามากกว่า 3 ปีในการพัฒนา แต่ผลลัพธ์ที่ได้แสดงให้เห็นถึงความเปลี่ยนแปลงที่ดี ในชุมชน ชาวบ้านเริ่มเข้าใจถึงความสำคัญของการทำงานเป็นทีม การแบ่งหน้าที่ตามความถนัด และการสร้าง ผลิตภัณฑ์ที่มีคุณค่า พี่เคและทีมงานยังคงมีเป้าหมายที่จะต่อยอดงานวิจัยนี้ต่อไป โดยเน้นการส่งเสริมให้ชุมชน สามารถพึ่งพาตนเองได้ และไม่ต้องแข่งขันกันเอง "เราพยายามให้ชาวบ้านสร้างแบรนด์และสินค้าเป็นของตัวเอง และไม่ให้เกิดการแข่งขันกันในกลุ่ม เราเชื่อว่าการสร้างความแตกต่างและอัตลักษณ์ที่ชัดเจนจะทำให้ชุมชนเติบโต ได้อย่างยั่งยืน" พี่เคสรุป
การนำงานวิจัยมาพัฒนาผลิตภัณฑ์ชุมชนจึงไม่ใช่เพียงแค่การปรับปรุงคุณภาพสินค้า แต่ยังเป็นการ เสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับชุมชน ช่วยยกระดับเศรษฐกิจท้องถิ่นและอนุรักษ์วัฒนธรรมพื้นบ้านให้คงอยู่ต่อไป #
หมายเหตุ ..หน่วยบริหารและจัดการทุนเพื่อการพัฒนาระดับพื้นที่ (บพท.) เป็นหน่วยงานในสังกัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและ นวัตกรรม มีเป้าหมายหลักคือการพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากและความเข้มแข็งของชุมชน ให้มีศักยภาพในการแข่งขัน สามารถพึ่งพาตนเอง ได้และกระจายรายได้สู่ชุมชนท้องถิ่น (ต้องการข้อมูลเพิ่มเติม ติดต่อ 02-109-5432 ต่อ 811 อีเมล์ : pmua@nxpo.or.th
ข่าวอัพเดท