แจงงบวิจัยปี65ขยายตัวแค่1.16% เอกชนลงทุนเยอะสุด73%รัฐแค่27%
วันศุกร์ ที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2567
การดู : 570

แชร์ :
วช.อ้างผลสำรวจค่าใช้จ่ายวิจัยปี65สูงขึ้น2.99% แต่เทียบกับจีดีพี ยังแค่ 1.16% ยังกระดืบขึ้นจากปี 2562 ที่ได้ 1.14% โอกาสถึง2%คงอีกหลายปี
สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม เปิดเผยผลสำรวจค่าใช้จ่ายด้านการวิจัยและพัฒนาของประเทศไทย ปี 2565 (ข้อมูลประจำปี 2566)
ดร. วิภารัตน์ ดีอ่อง ผอ.วช.เปิดเผยว่า ผลสำรวจค่าใช้จ่ายด้านการวิจัยและพัฒนาของประเทศไทย ปี 2565 (รอบสำรวจข้อมูลประจำปี 2566) พบว่า ปี 2565 ภาพรวมค่าใช้จ่ายด้านการวิจัยและพัฒนา (R&D) ของประเทศไทย อยู่ที่ 201,415 ล้านบาท ขยายตัวเพิ่มจากปีก่อนร้อยละ 2.99 หรือ คิดเป็นร้อยละ 1.16 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมของประเทศ (GDP) แบ่งเป็นค่าใช้จ่าย R&D ภาคเอกชน 146,321 ล้านบาท ภาคอื่นๆ (รัฐบาล,อุดมศึกษา, รัฐวิสาหกิจ และเอกชนไม่ค้ากำไร) 55,094 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนภาคเอกชนต่อภาคอื่นๆ อยู่ที่ร้อยละ 73 : 27

ทั้งนี้ ได้มีการเรียกร้องของหลายฝ่ายต่อเนื่องมาหลายปีที่จะให้ค่าใช้จ่ายด้านการวิจัยของประเทศถึง 2.0%ของ GDP ที่ผ่านมา การขยายตัวยังมีสัดส่วนต่ำมาก เช่นในปี2560 ขึ้นถึง 1.0%เป็นครั้งแรก ปี 2561 เพิ่มเป็น1.11% ปี 2562 เพิ่ม 1.14% ปี 2563 สัดส่วนสูงถึง 1.33 ปี 2564 ลดลงเล็กน้อย 1.21% ปี 2565 ลดลงอีกเหลือ 1.16% โดยมีรายงานว่า เป้าหมายการลงทุนวิจัยและพัฒนากำหนดว่า ปี 2570 จะขยายตัว 2 %ต่อจีดีพี
เมื่อจำแนกค่าใช้จ่าย R&D ตามหน่วยดำเนินการ (Sector of performance) ภาคเอกชนมีค่าใช้จ่าย R&D มากที่สุด 146,321 ล้านบาท (ร้อยละ 72.65) รองลงมาคือ ภาคอุดมศึกษา 40,301 ล้านบาท (ร้อยละ 20.01) ภาครัฐบาล 12,123 ล้านบาท (ร้อยละ 6.02) ภาครัฐวิสาหกิจ 1,542 ล้านบาท (ร้อยละ 0.76) ภาคเอกชนไม่ค้ากำไร 1,128 ล้านบาท (ร้อยละ 0.56)
เมื่อพิจารณาค่าใช้จ่าย R&D ในภาคเอกชน พบว่า ภาพรวมเติบโตเพิ่มขึ้นจากปีก่อนร้อยละ 1.00 เมื่อจำแนกตาม Sector เป็นค่าใช้จ่ายในภาคอุตสาหกรรมการผลิต 77,762.97 ล้านบาท (เพิ่มขึ้นร้อยละ 14.70) ภาคอุตสาหกรรมการบริการ 35,530.34 ล้านบาท (ลดลงร้อยละ 43.30) ภาคอุตสาหกรรมค้าส่ง/ค้าปลีก 32,804.28 ล้านบาท (เพิ่มขึ้นร้อยละ 127.20) และค่าใช้จ่าย R&D อื่น ๆ (งบประมาณแผ่นดินจากรัฐบาล 223.19 ล้านบาท) จำแนกตามขนาดได้ดังนี้ อุตสาหกรรมขนาดใหญ่ 119,991.86 ล้านบาท (ร้อยละ 82.01 ) อุตสาหกรรมขนาดกลาง 15,298.73 ล้านบาท (ร้อยละ 10.45) และอุตสาหกรรมขนาดย่อม 10,807 ล้านบาท (ร้อยละ 7.39)
ผลการสำรวจพบว่าอุตสาหกรรมที่มีค่าใช้จ่าย R&D สูงสุด 3 อันดับแรก คืออันดับ 1 อุตสาหกรรมอาหาร 22,314 ล้านบาท เมื่อเทียบกับปี 2564 พบว่ามีค่าใช้จ่ายลดลง โดยผู้ประกอบการให้ความเห็นว่าเกิดจากความกังวลจากปัจจัยต่าง ๆ อาทิ ความขัดแย้งที่กำลังเกิดขึ้นในหลายภูมิภาคทั่วโลก ผลกระทบจากภัยแล้ง และการเตรียมการปรับตัวเพื่อรองรับมาตรการภาครัฐที่อาจเกิดขึ้น เช่น การลดการบริโภคโซเดียม (Sodium intake reduction) หรือ มาตรการการจัดเก็บภาษีจากเครื่องดื่มและผลิตภัณฑ์ที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพ
อันดับ 2 กิจกรรมบริการทางการเงิน ยกเว้น การประกันภัยและกองทุนบำเหน็จบำนาญ 21,882 ล้านบาท มีค่าใช้จ่าย R&D สูงขึ้นเมื่อเทียบกับปีที่แล้ว โดยผู้ประกอบการให้ความเห็นว่าเกิดขึ้นจากปัจจัยต่าง ๆ อาทิ การขยายการให้บริการทางการเงินของผู้ประกอบการฟินเทค (FinTech) การเปิดโอกาสให้ธนาคารพาณิชย์ไร้สาขา (Virtual Bank) เข้ามาแข่งขันพัฒนาผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่ตอบโจทย์ผู้ใช้บริการมากขึ้น
อันดับ 3 ธุรกิจค้าส่ง/ตัวแทนจำหน่าย 17,240 ล้านบาท มีค่าใช้จ่าย R&D สูงขึ้นเมื่อเทียบกับปีที่แล้ว โดยผู้ประกอบการให้ความเห็นว่าเกิดจากปัจจัยต่าง ๆ อาทิ ตลาดค้าส่งมีการปรับเปลี่ยนรูปแบบธุรกิจเป็น B2B2C (Business-to-Business-to-Customer) จากการเข้ามาของธุรกิจค้าปลีกสมัยใหม่ (Modern Trade) ธุรกิจขายส่งขยายตลาดผ่านช่องทาง Digital Platform หรือ Marketplace ต่าง ๆ มากขึ้น มีคำสั่งซื้อจากประเทศคู่ค้าของไทยเพิ่มขึ้นจากสภาวะการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกภายหลังสถานการณ์โควิด-19
เมื่อพิจารณาค่าใช้จ่ายการวิจัยต่อผลิตภัณฑ์มวลรวม (GERD/GDP) ของประเทศไทยเทียบกับภูมิภาคอาเซียน จากฐานข้อมูล IMD ซึ่งปี 2565 (2022) เป็นปีล่าสุดข้อมูล พบว่า ประเทศไทยมี GERD/GDP อยู่ในอันดับที่ 2 ของอาเซียน ตั้งแต่ปี 2562 เป็นต้นมา ห่างจากสิงคโปร์ ซึ่งเป็นอันดับหนึ่งประมาณ 1.7 เท่า และในช่วงปี 2564-2565 ประเทศในภูมิภาคอาเซียนส่วนใหญ่มี GERD/GDP ลดลง ได้แก่ สิงคโปร์ (ลดลงร้อยละ 11.11) ไทย (ลดลงร้อยละ 4.13) และมาเลเซีย (ลดลงร้อยละ13.40 )
สำหรับบุคลากรด้านการวิจัยและพัฒนาของประเทศไทยปี 2565 ภาพรวมมีบุคลากรด้านการวิจัยและพัฒนา (แบบรายหัว) 242,061 คน (เพิ่มขึ้นร้อยละ 2.17) และบุคลากรด้านการวิจัยและพัฒนาที่ทำงานเทียบเท่าเต็มเวลา (Full-time equivalent: FTE) 165,126 คน-ปี (เพิ่มขึ้นร้อยละ 2.43) โดยบุคลากรด้านการวิจัยและพัฒนา (แบบ FTE) จำแนกเป็นนักวิจัย 133,684 คน-ปี (ร้อยละ 80.96) ผู้ช่วยนักวิจัย 19,506 คน-ปี (ร้อยละ 11.81) และผู้ทำงานสนับสนุน 11,936 คน-ปี (ร้อยละ 7.23) คิดเป็นสัดส่วนบุคลากร R&D (แบบ FTE) ต่อประชากร 10,000 คน อยู่ที่ 25 คน-ปี โดยอยู่ในภาคเอกชน 114,583 คน-ปี และภาคอื่น ๆ 50,543 คน-ปี หรือคิดเป็นสัดส่วนบุคลากรด้านการวิจัยและพัฒนา(แบบ FTE) ของภาคเอกชนต่อภาคอื่น ๆ อยู่ที่ร้อยละ 69:31 เมื่อเทียบกับภูมิภาคอาเซียน พบว่า ไทยมีบุคลากร R&D (แบบ FTE) ต่อประชากร 1,000 คน อยู่ในอันดับที่ 3 ของอาเซียน เป็นรองมาเลเซียและสิงคโปร์
ข่าวอัพเดท

สวทช. เปิดวิสัยทัศน์วาระ 2สร้างชาติด้วยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
วันอังคาร ที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2568
ภูมิปัญญา 65 ปี สู่วิถียั่งยืน มจธ.
วันจันทร์ ที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2568

TECE จัดใหญ่ ‘Open Innovation for EV Battle’
วันจันทร์ ที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2568

แผลเก่าเดอะมิวสิคัล จากวรรณกรรมสู่ละครเพลงร่วมสมัย
วันอาทิตย์ ที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2568
